GPSC ยิ้มรับกำไรปี 2559 เพิ่มขึ้น 42% บอร์ดเห็นชอบปันผล ผลประกอบการปี 59 ที่ 1.15 บ.ต่อหุ้น มุ่งเพิ่มกำลังผลิตหวังปี'60 โตต่อเนื่อง

GPSC เผยปี 2559 มีกำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 794 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% จากความสามารถในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า SPP และความแข็งแกร่งของลูกค้าอุตสาหกรรมในกลุ่ม ปตท. ทำให้โรงผลิตสาธารณูปการระยองมีปริมาณขายไฟและไอน้ำเพิ่มขึ้น และโรงไฟฟ้าไออาร์พีซี คลีนเพาเวอร์ระยะ 1 เปิดดำเนินการเต็มปี รวมทั้งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก บ.ผลิตไฟฟ้านวนคร ที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่กลางปี 2559 ที่ผ่านมา พร้อมประกาศจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2559 จำนวน 1.15 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 64% ของกำไรสุทธิ โดยแบ่งจ่ายไปแล้ว 0.45 บาทต่อหุ้นจากผลประกอบการครึ่งปีแรก ที่เหลือจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังอีก 0.70 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายวันที่ 11 เมษายน 2560 เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2560

ดร.เติมชัย บุนนาค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของกลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า จากความสามารถของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า cogeneration ทำให้ปีที่ผ่านมาสามารถทำกำไรได้สูงกว่าเป้าหมาย และในปี 2560 นี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการบริหารต้นทุนไฟฟ้าและไอน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นย้ำให้ความสำคัญติดตามโครงการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และหาโอกาสลงทุนเพื่อเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับไตรมาส 4 ปี 2559 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,462 ล้านบาท มีการปรับตัวลดลง 714 ล้านบาท หรือ 14% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากโรงไฟฟ้าศรีราชาเป็นโรงไฟฟ้าประเภทผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) มีปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงตามการเรียกรับไฟเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งรายได้ที่ลดลงจะเป็นรายได้ในส่วนของการชดเชยค่าพลังงาน (Energy Payment) ที่ไม่ได้รับจาก กฟผ. เมื่อไม่มีการเรียกรับไฟฟ้า แต่บริษัทฯ ยังคงได้รับค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) เนื่องจากมีความสามารถพร้อมจ่ายไฟให้กับ กฟผ. ตามสัญญาและสะท้อนอัตราผลตอบแทนการลงทุนแล้ว ดังนั้นเมื่อรายได้ลดลงต้นทุนการผลิตมีการปรับตัวลดลงตามในสัดส่วนที่มากกว่า ส่งผลให้กำไรขั้นต้นในภาพรวมของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นความสามารถในการดำเนินการผลิตของบริษัทฯ เป็นอย่างดี

ส่วนของกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ของบริษัทฯ จำนวน 419 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 3 ของปี 2559 จำนวน 305 ล้านบาท หรือ 42% ซึ่งสาเหตุหลักมาจากในไตรมาสก่อน บริษัทฯ ได้รับเงินปันผลจาก บริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด (RPCL) อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2558 กำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 25%

ทั้งนี้ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบให้จ่ายปันผลประจำปี 2559 จากผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในปี 2559 ในอัตราหุ้นละ 1.15 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,723 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 64 ของกำไรสุทธิ แบ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2559 (ม.ค.-มิ.ย. 2559) ไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 674 ล้านบาท จึงยังคงเหลือส่วนเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2559 (ก.ค.–ธ.ค. 2559) ที่จะต้องจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,049 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มของบริษัทฯ ในปี 2560 คาดว่าจะยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยนโยบายบริษัทฯ ที่ยังคงมุ่งมั่นให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการร่วมกับกลุ่ม ปตท. หรือร่วมกับคู่ค้า เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยพิจารณาเลือกโครงการที่มีผลตอบแทนที่ดี และร่วมกับคู่ค้าที่มีความเชี่ยวชาญในประเทศที่จะเข้าร่วมลงทุนอย่างแท้จริง

Back10 February 2017