GPSC โชว์กำไรไตรมาสแรกพุ่ง 79% เร่งเครื่องโรงไฟฟ้าครึ่งปีหลังรับ Ft เพิ่ม

GPSC เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2560 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 5,366 ล้านบาท เติบโต 20% กำไรเพิ่มขึ้น 79% อยู่ที่ 750 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2559 เผยแผนดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง ทิศทางสดใสรับการขยายตัวการใช้ไฟเพิ่มขึ้น เข้มแผนบริหารจัดการต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า และไอน้ำ รองรับ เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนต่อยอดธุรกิจในอาเซียน

ดร. เติมชัย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของกลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ของปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 5,366 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 750 ล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2559 คิดเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้น จำนวน 904 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 20% ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 331 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 79%

“ไตรมาสแรกปี 2560 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีรายได้ลดลง 118 ล้านบาท คิดเป็น 2% กำไรสุทธิลดลง 121 ล้านบาท หรือ หรือลดลง 14% โดยเป็นผลจากการรับเงินปันผลจาก บริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด ลดลง 60 ล้านบาท ประกอบกับโรงไฟฟ้า IRPC -CP กำไรลดลงจากลูกค้ามีการหยุดซ่อมบำรุง” ดร.เติมชัยกล่าว

สำหรับทิศทางของธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาส 2 ยังคงมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากประมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม ปี 2560 เพิ่มขึ้น 68,198 ล้านหน่วย ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนมกราคม- เมษายน ปี 2560 เท่ากับ 5,853 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 9.39% ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจขยายตัว ขณะเดียวกันคณะกรรมการกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft) ที่จะเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในงวดเดือนพฤษภาคม- สิงหาคมเพิ่มขึ้น 12.52 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นปัจจัยหลักการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.5079 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 3.7% เป็นผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์สูงสุด จากการปรับค่า Ft ที่สูงขึ้น โดยการบริหารสินทรัพย์ตามแผนการดำเนินงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ของบริษัทฯ จะเป็นโรงไฟฟ้าที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด เมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าประเภทอื่น รวมทั้งบริษัทฯ ยังมุ่งมั่นในการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด บนภาวะทิศทางของราคาต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของการดำเนินธุรกิจในปี 2560 บริษัทฯ จะมีการรับรู้รายได้เต็มปี จากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งจันทบุรี จำกัด และรับรู้ส่วนของกำไรจากโรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โครงการ 2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าประเภท SPP ในไตรมาส 3 นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อิจิโนเซกิ โซล่าร์ พาวเวอร์ ในประเทศญี่ปุ่น และโครงการ โรงไฟฟ้า ไออาร์พีซี คลีนพาวเวอร์ ระยะที่ 2 ที่จะมีการรับรู้รายได้ในไตรมาส 4

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้กำหนดกลยุทธ์ในการแสวงหาโอกาสการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีแผนในการพัฒนาธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน โดยร่วมกับ บริษัท 24M Technologies ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้บรรลุความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนของ 24M มาผลิตและจำหน่ายในภูมิภาคอาเซียน

Back04 May 2017