GPSC ไตรมาส 3 หรู โชว์เกินเป้า 9 เดือน ทะลุ 2,453 ล้านบาท มั่นใจปีนี้ทุกโครงการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบตามแผน

GPSC เผยไตรมาส 3 ผลประกอบการโตเกินเป้าหมาย กำไรพุ่ง 888 ล้านบาท เป็นผลประกอบการไตรมาสที่สูงที่สุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โชว์ความเชี่ยวชาญในการบริหารโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมประกาศความพร้อมการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้

ดร.เติมชัย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของกลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2560 บริษัทฯ และกลุ่มบริษัท GPSC มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 888 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาส 2/2560 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่โรงผลิตสาธารณูปการระยอง หรือ โรงไฟฟ้า IRPC–CP มีผลประกอบการที่ดีขึ้น จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำที่เพิ่มขึ้น ภายหลังจากที่ลูกค้าหลักมีการหยุดซ่อมบำรุงรักษาตามแผนในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 และกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติ รวมไปถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft)

ขณะเดียวกัน ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2560 โรงไฟฟ้าศรีราชามีค่าบำรุงรักษาตามชั่วโมงการเดินเครื่องปรับตัวลดลง เป็นผลมาจากการหยุดเดินเครื่องตามความต้องการของระบบ (Reserved Shutdown) จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้เงินปันผลจากบริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด (RPCL) จำนวน 150 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2559 พบว่ากำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 23% หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 164 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยทางด้านราคาขายที่ปรับตัวดีขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของค่า Ft รวมทั้ง โรงผลิตสาธารณูปการระยอง และ โรงไฟฟ้า IRPC –CP มีปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มขึ้นจากลูกค้าที่กลับมาเดินเครื่อง รวมทั้งในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 โรงผลิตสาธารณูปการระยอง มีการหยุดซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซ (Gas Turbine Generator)

“ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทฯ ยังคงปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2/2560 ซึ่งนับว่าเกินเป้าหมาย จากการบริหารจัดการพลังงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง และโครงการต่างๆ ที่จะเข้าสู่ระบบในปีนี้ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้เช่นกัน เชื่อว่าในปี 2560 นี้ผลประกอบการบริษัทฯ จะยังคงเติบโตอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง” ดร.เติมชัยกล่าว

ส่วนในช่วงเวลาที่เหลือของปี จะยังคงมีโรงไฟฟ้าที่เข้าระบบและสามารถจ่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) อีก 2แห่ง ประกอบด้วย 1.โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อิจิโนเซกิ โซล่าร์ พาวเวอร์ ในประเทศญี่ปุ่น มีกำลังการผลิต 20.8 เมกกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบระบบ และ 2.โครงการโรงไฟฟ้า ไออาร์พีซี คลีนพาวเวอร์ ระยะที่ 2 (IRPC-CP2) มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 195 เมกกะวัตต์ จากกำลังการไฟฟ้าของโครงการทั้งหมด 240 เมกกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบระบบเช่นกัน คาดว่าในปีนี้ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตรวม 1,530 เมกกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11%

ดร.เติมชัย กล่าวว่า ทิศทางและภาพรวมของการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ในช่วงเวลาที่เหลือของปี มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ จะมีอัตราการขยายตัว และภาครัฐเองยังให้ความสำคัญในการลงทุนโครงการต่างๆที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ขณะที่บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสและแสวงหาการลงทุนใหม่ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าในอนาคต ที่เกิดจากโครงการลงทุนในโครงการต่างๆ ภายใต้กรอบนโยบาย โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการร่วมพัฒนาระบบไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนานวัตกรรมไฟฟ้าและพลังงาน เพื่อนำมาเสริมสร้างความมั่นคงของระบบ

Back06 November 2017