GPSC เปิดแผนธุรกิจปี 2561 วางกลยุทธ์เติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมใหม่ของกลุ่ม ปตท. ตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC ที่คาดว่าจะทำให้การลงทุนภาพรวมเติบโตแบบก้าวกระโดด ดันกำลังการผลิตไฟฟ้า ไอน้ำ และสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น คาดรายได้โตต่อเนื่อง เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีพร้อมเดินเครื่องโรงงานผลิตแบตเตอรี่ปลายปีหน้า เร่งศึกษาความเป็นไปได้โครงการโรงไฟฟ้า ในพม่า-ลาว
ดร.เติมชัย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า กลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคในปี 2561 บริษัทมุ่งเน้นการลงทุนภายในประเทศ ที่จะรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของกลุ่ม ปตท. ซึ่งมีเป้าหมายลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด ภายใต้แผนพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยคาดว่าการเติบโตการลงทุนใน EEC จะส่งผลให้ GPSC มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้
“หลังจากที่ร่าง พรบ. EEC ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติ (สนช.) คาดว่าจะเกิดการลงทุนในประเทศครั้งใหญ่ทั้งกลุ่มของ ปตท. และลูกค้าอื่นๆ ของเรา ดังนั้น GPSC ในฐานะเป็นแกนนำด้านพลังงานไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ของกลุ่ม ปตท. มีความพร้อมที่จะลงทุนในด้านการผลิตระบบไฟฟ้าและสาธารณูปโภค เพื่อมารองรับโครงการต่างๆ จึงมั่นใจว่าจะทำให้ GPSC มีอัตราการเติบโตไปพร้อมๆ กับการเติบโตของ EEC ” ดร.เติมชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้เตรียมแผนพัฒนาโครงการลงทุนนวัตกรรมพลังงาน เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสการตื่นตัวของด้านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System:ESS ) ซึ่ง GPSC ได้จัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญขึ้น เพื่อทำการศึกษาและวิจัยด้านนวัตกรรมพลังงานให้เกิดความเหมาะสมกับความต้องการใช้ภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียน เพื่อเตรียมความพร้อมในการลงทุน หลังจากภาค รัฐมีนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจน โดยแผนการก่อสร้างโรงงานผลิต
แบตเตอรี่ ร่วมกับบริษัท 24M Technologies ประเทศสหรัฐอเมริกา ขนาดกำลังการผลิต 100 MWH (เมกะวัตต์ชั่วโมง) ที่ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้รับสิทธิในการนำเทคโนโลยี 24M มาผลิตเพื่อจำหน่ายแบตเตอรี่ในประเทศไทยและอาเซียน ล่าสุดได้ตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเทศไทยในการผลิตและจำหน่าย โดยมีผู้ออกแบบโรงงานและกระบวนการผลิต พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ภายใน และคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตได้ภายในปลายปี 2562 ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช ชลบุรี 1
สำหรับเป้าหมายการลงทุนในต่างประเทศ บริษัทฯ ได้วางแผนการลงทุนไปพร้อมกับกลุ่ม ปตท. และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยในประเทศพม่า ถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพการลงทุนด้านพลังงาน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งบริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการเข้าไปลงทุน ถือเป็นประเทศเปิดใหม่ที่นักลงทุนต้องศึกษาอย่างรอบคอบ
ส่วนการลงทุนในสปป.ลาว บริษัทมีประสบการณ์จากการร่วมทุนใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี (XPCL) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำลิก 1 (NL1PC) ซึ่งทั้งสองโครงการทำให้บริษัทฯ มีความชำนาญ และองค์ความรู้ที่สามารถนำไปต่อยอด เพื่อการพัฒนาโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นได้อีก
“โรงไฟฟ้าไซยะบุรีมีความคืบหน้าไปค่อนข้างมาก โดยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องที่ 1 จะเสร็จในปีนี้ และคาดว่าการก่อสร้างทั้งหมดจะเสร็จทันกำหนดการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในเดือนตุลาคม 2562 ตามแผน ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าน้ำลิก 1 ปีนี้งานหลักคือการติดตั้งอุปกรณ์เครื่องจักรสำคัญๆ และเตรียมทดสอบระบบปลายปี คาดว่าจะสามารถ COD ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562” ดร.เติมชัย กล่าว